เนื่องด้วยการที่ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้ประชุมหารือกันในหลากหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดว่าในปีการศึกษา 2559 (น้อง ม.6 รุ่นปี 2558) นั้นจะมีระบบสอบตรงอย่างไร จะเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ สรุปแล้วจะจัดสอบรวมกันครั้งเดียทั่วประเทศหรือไม่ (เหมือนกลับไปใช้ระบบ Entrance เลย) แต่สิ่งหนึ่งบรรดาสมาชิก 27 มหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำของประเทศ ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างแน่ชัด คือ การจัดสอบวิชาสามัญเพิ่มขึ้นจากเดิม 7 วิชา เป็นสอบทั้งหมด 9 รายวิชา คือ วิชาเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ (สายศิลป์) และวิทยาศาสตร์ สายศิลป์) ทั้งนี้เพราะเห็นว่าการใช้ข้อสอบในระบบสอบตรงรวมกันเดิม (7 วิชาสามัญ) นั้นจะเน้นไปในคณะทางด้านสายวิทยาศาสตร์เป็นส่วนมาก จึงเพิ่มวิชาในสายศิลป์ขึ้นมาในครั้งนี้
แต่ทั้งนี้อย่างไรก็ตาม ทางที่ประชุมฯ ก็ยังไม่มีข้อกำหนดที่แน่ชัด อีกทั้งมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเรื่องระบบการรับตรงในปี 2559 ที่ใกล้จะถึงนี้ ทำให้นักเรียนรวมทั้งผู้ปกครองต่างๆ เกิดข้อกังวลว่าจะเตรียมตัวอย่างไร เพราะหากใช้ระบบรับตรงร่วมกันเพียงอย่างเดียว นั่นหมายความว่ามีสิทธิ์ชี้วัดตัวเองเพียงครั้งเดียว (โหดยิ่งกว่า Entrance) เพราะหากพลาด ก็ต้องไปไป Admission (โหดกว่าตรงที่ หลายมหาวิทยาลัยจัดจำนวนที่นั่งกว่า 70 - 85% ไว้ที่ระบบสอบตรง ตามสถิติในปีที่ผ่านๆ มา) แต่ทว่าในแหล่งข่าวจากที่ประชุม ปทอ. หลายท่านก็ยังเสียงแตก และยังมีการพูดถึง "การจัดสอบเองโดยตรง" จากทางมหาวิทยาลัยนั้นๆ อยู่ เช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ประกาศจัดสอบในระบบโควตา "เอง" เช่นเดิมเหมือนทุกๆ ปีที่ผ่านมา ดังนั้นทาง TOPIC ACADEMY จึงทดลองรูปแบบต่างๆ ที่พอเป็นไปได้ในระบบรับตรงปี 59 มาให้ดูดังด้านล่างนี้
- ระบบสอบตรงโดยใช้ 9 วิชาสามัญอย่างเดียว
- ระบบสอบตรงโดยใช่ 9 วิชาสามัญ + GAT/PAT
- ระบบสอบตรงโดยใช้ GAT/PAT
- ระบบสอบตรงโดยใช้ 9 วิชาสามัญ + มหาวิทยาลัยจัดสอบเอง
- ระบบสอบตรงโดยใช้ 9 วิชาสามัญ + GAT/PAT + มหาวิทยาลัยจัดสอบเอง
- ระบบสอบตรงโดยใช้ GAT/PAT + มหาวิทยาลัยจัดสอบเอง
- ระบบสอบตรงโดยใช้เฉพาะวิชาที่มหาวิทยาลัยจัดสอบเองเพียงอย่างเดียว
- ระบบสอบตรงโดยใช้วิชาต่างๆ จากส่วนกลาง แต่หากผ่านสอบสัมภาษณ์ จะมีการสอบในรายวิชาเฉพาะทางซึ่งมหาวิทยาลัยจัดการสอบเองอีกครั้ง (เช่น มศว ที่ประกาศออกมาแล้วว่าจะใช้ระบบนี้นำร่อง)
ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้ ทำให้น้องๆ หลายคนเกิดความสับสนและไม่แน่ใจ ดังนั้นทางสถาบันจึงขอสรุปข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบตรงของธรรมศาสตร์และจุฬาฯ ดังนี้
1. ต่อข้อกรณีการสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
= มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดรับตรงมาอย่างยาวนานเกือบ 20 ปี ดังนั้นทั้งข้อสอบและระบบการสอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะสายสังคมศาสตร์ (เช่น คณะรัฐศาสตร์, นิติศาสตร์, สัคมสงเคราะห์ศาสตร์, พาณิชยศาสตร์และการบัญชี, เศรษฐศาสตร์) ซึ่งถือเป็นคณะหัวใจสำคัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงออกแบบมาได้อย่างเหมาะสม นั่นคือมหาวิทยาลัยสามารถที่จะวัดระดับผู้ที่จะสามารถเข้าเรียนในคณะหรือสาขาวิชานั้นๆ รวมไปจนถึงได้นักเรียนที่อยากจะเข้าศึกษาในคณะหรือสาขานั้นๆ ได้อย่างแท้จริง และด้วยการนำระบบสอบตรงมาใช้ยาวนานเกือบ 20 ปี สะท้อนให้เห็นว่าระบบการรับตรงของธรรมศาสตร์นั้น "ได้ผล" ดังนั้นธรรมศาสตร์จึงอาจจะปรับปรุงระบบการสอบตรงของตนเอง โดยอาจใช้คะแนนสอบทั้ง 9 วิชาสามัญ คะแนน GAT/PAT และการจัดสอบโดยมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งจะจำแนกแตกต่างกันออกไปในคณะและสาขาวิชาต่างๆ (โดยในปีที่ผ่านๆ มา ช่วง 2555 - 2557 ที่มีกระแสการรับตรงร่วมกัน ธรรมศาสตร์ก็หันมาใช้ระบบผสมนี้ และคณะเก่าแก่เช่นคณะรัฐศาสตร์, นิติศาสตร์, สังคมสงเคราะห์ศาสตร์, เศรษฐศาสตร์, พาณิชยศาสตร์และการบัญชี จะยังใช้ข้อสอบที่ออกแบบและจัดสอบเองของมหาวิทยาลัยเช่นเดิม ส่วนคณะอื่นๆ ทางสายวิทยาศาสตร์นั้นก็หันมาใช้คะแนนจากส่วนกลางมากขึ้น หรือคณะนิติศาสตร์เอง ก็เอาคะแนน GAT มาเป็นสัดส่วนในการพิจารณาเพิ่มขึ้น เป็นต้น) โดยในช่วงที่มีกระแสการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ราวปี 2554 นั้น ท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรณ์ (ซึ่งปัจจุบัน ปี 2558 ก็ยังเป็นท่านเดิม) เคยได้กล่าวไว้อย่างดุเด็ดในช่วงปี 2555 ว่า
"มติที่ประชุมมธ.ยังไม่ชัดเจน แต่โดยสรุปมีข้อเสนอว่าอยากให้มีการสอบตรงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพูดคุยให้ลึกถึงรายละเอียดของการสอบตรงร่วมกันก่อน หากร่วมกันในแง่ของการมีศูนย์กลางคอยมาดูแล คอยจัดวันเวลาให้ใกล้เคียงหรือตรงกัน และจำกัดจำนวนมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาจะไปสมัคร จุดนี้ทางธรรมศาสตร์เห็นด้วย แต่ถ้าถึงขนาดต้องสอบวิชาเดียวกัน จุดนี้ยังต้องทำความเข้าใจกันให้มาก ดังนั้น จึงต้องพิจารณาว่าการร่วมกันนี้ จะร่วมกันขนาดไหน"
"อย่างคณะเศรษฐศาสตร์สอบโดยใช้วิชาเดียวกับคณะนิติศาสตร์ก็แย่แล้ว มันไม่มีทางจะเรียกว่าสอบตรงได้ คนจะดูปัญหาที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ แต่ไม่ดูปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา ตอนที่เรามีเอนทรานซ์ คือสอบครั้งเดียวแล้วตัดสินไปเลยว่าได้หรือตก ผลคือ 1. นักศึกษาเครียดมาก มีคนตกจำนวนมาก มีคนได้จำนวนนิดเดียว 2. คนที่ได้ส่วนใหญ่ พอเข้าไปเรียนแล้วมีการเปลี่ยนคณะเรียน เช่น เด็กอยากได้คณะวิศวะฯ แต่เผอิญไปติดนิติศาสตร์ ปีหน้าก็ลาออกไปสอบเข้าวิศวะฯใหม่ นี่คือปัญหา หลายมหาวิทยาลัยจึงเลือกวิธีสอบตรง ผลออกมาคือ 1. ได้นักศึกษาตรงตามที่มหาวิทยาลัยต้องการ นักศึกษาเหล่านั้นตั้งใจจะเรียนนิติศาสตร์ก็มาเรียนนิติศาสตร์ ตั้งใจจะเรียนทันตแพทย์ ก็ได้เรียนทันตแพทย์ การเปลี่ยนคณะแทบไม่มีเลย"
ศ.ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า กรณีที่มีการพูดถึงกันมาก คือ นักศึกษาไปวิ่งสอบตรงหลายๆที่ ทำให้เสียค่าใช้จ่ายสูง ในความเป็นจริงแล้ว การสอบทุกระบบมีปัญหาทั้งนั้น แต่เมื่อจะแก้ปัญหา ต้องแก้ปัญหาที่เกิดกับคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่แก้ปัญหาคนส่วนน้อย
"ถ้ามีคนวิ่งรอกสอบสัก 1% แต่คนที่เหลือจะต้องไปแก้ปัญหาของคน 1% ไหม หรือเราควรจะยืนหยัดอยู่บน 99% ที่เป็นคนส่วนใหญ่ ตัวเลขพวกนี้ยังไม่มี มีแต่คนพูดกันไปว่าวิ่งรอกสอบกันเยอะ แต่ไม่มีการพูดถึงจำนวนให้ชัดเจน อย่างไรก็ตามถ้ามีอะไรที่จะทำให้ระบบการสอบของประเทศดีขึ้นธรรมศาสตร์ก็ยินดี เพียงแต่ไม่อยากให้สรุปรวดเร็วนักว่าจะไปร่วมกันหมดทุกอย่าง เพราะจะเป็นการกลับมาสร้างปัญหาให้ระบบ" ศ.ดร.สมคิด กล่าว
ประกอบกับจากการที่บางมหาวิทยาลัยเช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ประกาศใช้ระบบโควตา ที่จัดสอบเองออกมาแล้ว พร้อมทั้งตารางการสอบ SMART I ซึ่งเป็นการสอบที่จะใช้ผลคะแนนสอบในการพิจารณาการเข้าศึกษาระบบสอบตรงเพียงอย่างเดียวของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ยังประกาศจัดสอบตามปกติ ซึ่งชัดเจนว่าอย่างน้อยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ธรรมศาสตร์ จะยังใช้ระบบการสอบตรงโดยจัดสอบเอง (SMART I) เหมือนเช่นเดิมอย่างแน่นอน หากแต่ส่วนคณะอื่นๆ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ปรากฏออกมา (ซึ่งเป็นปกติของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จะประกา่ศออกมาอย่างเป็นทางการในช่วงราวกลางเดือนสิงหาคม - ตุลาคม)
ซึ่งจากข้อเห็นข้างต้น ทางสถาบันจึงมีความเห็นว่า ธรรมศาสตร์ จะใช้ระบบการสอบตรงในการสอบตรง มธ.ปี 2559 ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (และทำให้การเรียนการสอนใน TOPIC ACADEMY จะสามารถนำไปใช้สอบในปี 2559 ได้อย่างแน่นอน (แต่ถึงเรียนไปแล้ว มธ. ไม่มีสอบ ก็มาแลกขอเรียนคอร์สอื่นๆ ได้ เช่น GAT/ภาษาอังกฤษ/สังคม ฯลฯ ตามรายละเอียดโปรโมชั่น >> http://www.2btopic.com/pro/TuMakeSure.html) อิอิ แอบโฆษณา ^^) (อาจยกเว้นคณะสายวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ มธ. อาจจะเข้าร่วมสอบตรงของ ทปอ. ทั้งนี้เพราะมีการแยกสอบเคมี ฟิสิกส์ ชีวะ และคณิต นั่นเอง) ดังนั้นน้องๆ จึงยังไม่ต้องจกอกตกใจไปนะจ้า พี่ๆ และทีมสอนที่ TOPIC ทุกคนเป็นกำลังใจให้ และจะคอยตามข่าวให้น้องๆ ทุกคนอย่างต่อเนื่องจ้า ^_^
ปล. ทั้งนี้ในส่วนของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี นั้นต้องสอบ SMART I อยู่แล้ว (จัดสอบหลายครั้งต่อปี และในปี 2554 ก็ได้ประกาศเวลาสอบออกมาแล้วจำนวน 10 ครั้ง) ดังนั้นอย่างไรก็ตามหากเด็กๆ อยากเข้าเรียนในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะอันดับหนึ่งด้านการบริหารและบัญชีของประเทศ ทั้งหลักสูตรภาคไทย 4 ปี 5 ปี และ BBA (อินเตอร์) อย่างไรเสียก็ต้องสอบ SMART I อย่างแน่นอน 100% และคณะ INTER ทั้งหลาย เช่น BMIR, BE, BBA, BJM, BEC, BAS, PBIC นั้น สอบตรงแน่นอน 100% รวมจนถึงโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (SEAS) และโครงการรัสเซียศึกษา และหลักสูตรอื่นๆ ในโครงการพิเศษต่างๆ ด้วย
2. การสอบตรง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
= โดยปกติการสอบตรงของจุฬาฯ นั้นโดยมากจะเป็นวิชา GAT หรือ PAT หรือวิชาสามัญ อยู่แล้ว ดังนั้นการเตรียมตัว หากเตรียม GAT/PAT และวิชาสามัญ ไว้แต่เนิ่นๆ ก็ย่อมได้ประโยชน์อย่างแน่นอน (ทั้งนี้ น้องๆที่เรียนกับเราที่ TOPIC นี้จากปีที่ผ่านๆ มาก็ประสบผลสำเร็จได้คะแนนสูงขึ้นกันทุกคน โดยเฉพาะวิชา GAT, PAT5 และ PAT1)
ทั้งนี้ ในส่วนของคณะนิเทศศาสตร์ นั้น ได้เปิดสอบตรงมานานเกือบจะ 10 ปีแล้ว (กล่าวคือเปิดสอบตรงโดยคณะจัดสอบเอง มาก่อนที่จุฬาฯจะจัดระบบสอบตรงร่วมกันทั้งมหาวิทยาลัย) อีกทั้งการสอบคณะนิเทศฯ เป็นการสอบวัดความรู้เฉพาะทางอย่างแท้จริง ซึ่งต่างจากคณะอื่นๆ ทั่วไป ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่คณะนิเทศศาสตร์ จะยังคงจัดสอบเองดังเดิม อีกทั้งทางคณะมักจะจัดสอบในช่วงเดือนกรกฎาคมหรือตุลาคมของทุกปี (กรณีวิชาเฉพาะทางเช่น วิชาความถนัดทางวารสารสนเทศ หรือวิชาความรู้ทั่วไปทางสังคมศาสตร์ หรือวิชาความรู้ทั่วไปทางภาษาและวรรณคดีไทย) ดังนั้นหากน้องๆ ยังลังเลในช่วงนี้อาจจะมีเวลาในการเตรียมตัวน้อยลงได้
ส่วนคอร์ส INTER ทั้งหลาย เช่น BBA, EBA, BALAC, NITAD นั้นเปิดสอบตรง 100% แน่นอน
3. การสอบตรง แพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ กสพท.
=แนวโน้มว่าจะรับในรูปแบบเดิม 99% คือสอบวิชาพื้นฐาน (โดยใช้ผลคะแนนของ 9 วิชาสามัญ ของ สทศ.) และวิชาเฉพาะแพทย์ ดังนั้นเตรียมตัวในรูปแบบเดิม เตรียมเครื่อง ออกตัวเต็มที่ทั้งปีนี้ได้เลยจ้าา (ว้ชาเฉพาะแพทย์ สอบช่วงปลายเดือนตุลาคม)
และในปีนี้ตารางการสอบต่างๆ ก็ประกาศออกมาแล้วอย่างรวดเร็ว และยังจัดการสอบให้เร็วขึ้นอีกด้วย ดังนี้
- GAT/PAT ครั้งที่ 1 จัดสอบ 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2558 (เดิม จัดช่วงเกือบกลางเดือนพฤศจิกายน)
- 9 วิชาสามาัญ จัดสอบ 26 - 27 ธันวาคม 2558 (เดิมจัดช่วงต้นเดือนมกราคม)
- ONET (สอบได้ครั้งเดียวในชีวิต) จัดสอบ 6 - 7 มกราคม 2558 (เดิมจัดสอบช่วงเดือนกุมภาพันธ์)
- GAT/PAT ครั้งที่ 2 จัดสอบ 5 - 8 มีนาคม 2558 (จัดช่วงเวลาเดิม)
น้องๆ จะเห็นว่าตารางการสอบนั้น "ร่น" ระยะเวลาขึ้นมา ดังนั้นหากลังเล และไม่รีบเตรียมตัว ก็อาจจะพลาดการสอบ ซึ่งแน่นอนว่าการเตรียม "เฉพาะ" ที่ตัวเองจะนำไปใช้ได้จริงนั้น ได้ประโยชน์มากกว่าแย่างแน่นอน ซึ่งการจะทราบว่าวิชาที่จะได้ใช้นั้นมีอะไรบ้าง ก็ต้องทราบให้ชัดเจนว่า น้องๆ นั้น "อยากเรียน" คณะ/สาขาวิชาใดบ้างนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด และหากต้องการความช่วยเหลือ ครูพี่ทาม์ยและ TOPIC ACADEMY ยังพร้อมดูแลน้องๆ อยู่เสมอ
ทั้งนี้อย่างไรก็ตาม ขอให้น้องๆ ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ได้ทาง website : www.2btopic.com และ www.facebook.com/topic.academy และwww.facebook.com/tyme.topic เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนในอนาคตของหนูๆ ทุกคนจ้าาา ^_^
ข้อมูลโดย : สถาบันพัฒนาทักษะเพื่อการสอบตรงธรรมศาสตร์และจุฬา TOPIC ACADEMY