ชำระหนี้สงฆ์ คืออะไร…

คนรุ่นใหม่ หลายคนอาจเข้าใจผิด… การทำบุญ “ชำระหนี้สงฆ์” ไม่ได้หมายความว่า เป็นการทำบุญบริจาคทรัพย์ เพื่อให้พระท่านเอาไปใช้หนี้ จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เพียงอย่างเดียว … แต่แท้จริงแล้ว “หนี้สงฆ์” ตามความเชื่อโบราณก็คือ สิ่งที่เราติดค้างพระท่านไว้ในอดีตชาติ ไม่ว่าจะเป็น…

• “คำสัญญา” ที่เคยเอ่ยว่าจะสร้างวัด ทำบุญ หรือทำประโยชน์ใดต่อพระสงฆ์ แล้วเราไม่ได้ทำ ทั้งในปัจจุบันและชาติปางก่อน (ซึ่งเราไม่อาจล่วงรู้ได้) หรือไม่ว่าจะเป็น…
• “ของสงฆ์” หรือ “ของวัด” ที่เราพลั้งเผลอทำเสียหาย ใช้ประโยชน์ เช่น น้ำ ไฟ… หรือของสงฆ์ที่เรานำติดกลับบ้านไปด้วย เช่น อาหารของพระ ดอกไม้ของวัด เศษกระเบื้อง หรือแม้แต่ “เศษดิน เศษทราย” ก็เป็นของสงฆ๋เช่นกัน… (จึงจะเห็นได้ว่ามีประเพณีทำบุญ “ขนทรายเข้าวัด” เพื่อนำไปใช้หนี้สงฆ์)

เมื่อเราได้พลั้งเผลอทำสิ่งเหล่านี้… ทั้งในอดีตชาติและในปัจจุบัน จึงถือว่าเรา “เป็นหนี้สงฆ์” เรียบร้อยแล้ว… สรุปแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ทุกคนล้วนมี “หนี้สงฆ์” ที่ติดค้างพระท่านไว้ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว อันส่งผลให้ได้รับ “วิบากกรรม” ในปัจจุบันนั่นเอง…

ผลของการติดหนี้สงฆ์

เพียงเราก้าวเท้าเข้าวัด… เราก็ติดหนี้สงฆ์โดยที่ไม่รู้ตัวแล้ว เพราะเราได้นำเม็ดทรายติดเท้ากลับบ้านไปด้วย… “วิบากกรรม” เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ส่งผลต่อชีวิตของเรามากน้อยต่างกันไป ตามหนี้สงฆ์ที่เราก่อ…

“วิบากกรรม” อาจส่งผลต่อ… ฐานะการเงิน และหน้าที่การงานของเรา ผลกรรมนั้น จะเหนี่ยวรั้งไม่ให้เรา ได้ประสบพบพานกับความเจริญ และความสุขสำเร็จ เช่น…

• วิบากกรรม ส่งผลให้เราไม่ได้ทำงานที่เหมาะกับเรา เช่น บางคนเรียนจบสายที่ตนตั้งใจ แต่ไม่ได้ทำงานที่ตนชอบ เป็นต้น รวมทั้ง…
• วิบากกรรม ส่งผลให้เงินของเราไม่งอกงาม เก็บเงินไม่อยู่ มีเรื่องให้ต้องคอยเสียเงินอยู่เรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะว่าเราติดค้างหนี้สงฆ์ในอดีตนั่นเอง…

วิธีชำระหนี้สงฆ์​ที่ถูกต้อง ทำแล้วชีวิตดี

เมื่อเราทราบแล้วว่า “หนี้สงฆ์” คืออะไร… เราก็ไปแก้ไขวิบากกรรมกันโดยด่วน เพื่อชีวิตจะได้ไม่มีอุปสรรค และเจริญรุ่งเรืองขึ้น สามารถชำระหนี้สงฆ์ได้ดังนี้…

• ถวายปัจจัยค่าน้ำ ค่าไฟ : สามารถทำได้โดย ไปหย่อนเงินที่ตู้บริจาคในวัด ไม่ว่าจะเป็นตู้ที่เขียนว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องบริจาคมาก เพียงแต่บริจาคเท่าที่มีกำลังพอก็ได้… เคล็ดลับคือ… เวลาบริจาค ห้ามคิดมากว่า ท่านจะเอาเงินไปทำอะไร และควรอุทิศส่วนกุศลแก่คณะสงฆ์ ก่อนหย่อนเงินทุกครั้ง

• ถวายสังฆทาน : ก็ถือเป็นการชำระหนี้สงฆ์ เพราะอดีตชาติเราอาจเคยนำของของพระกลับบ้านไป เช่น ผลไม้ อาหาร (ถ้าพระท่านให้ถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าเราตั้งใจหยิบไปถือว่าผิด) ถึงอย่างไรการถวายสังฆทานก็เป็นการถวายปัจจัยคืนพระท่าน

• ทำบุญตามสัญญาที่ตั้งไว้ : ถ้าหากใครสัญญาว่าจะช่วยสร้างวัด สร้างเจดีย์ ถ้าถูกหวย หรือจะสร้างกุฏิ ทำประโยชน์ใดให้สงฆ์ ก็ให้ไปทำตามที่ตั้งปณิธานเอาไว้ เพียงเท่านี้ ก็สามารถ ชำระหนี้สงฆ์​ ได้แล้ว

• ทำบุญขนทราบเข้าวัด : เป็นอีกหนึ่งวิธีในการ ชำระหนี้สงฆ์​ ตามประเพณีโบราณ ซึ่งสามารถทำได้ในช่วงประเพณีวันสงกรานต์ของทุกปี ซึ่งเป็นความเชื่อว่า ทรายที่ขนไปคืนวัดนั้น เป็นการชดเชยที่เหยียบของวัดออกไป และสามารถก่อเจดีย์ทราย และเข้าไปไหว้พระในวิหารก็เป็นอันเสร็จสิ้น!

อานิสงค์ของการ ชำระหนี้สงฆ์​

เมื่อปฏบัติตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว… เพียงเท่านี้ก็สามารถชำระหนี้สงฆ์ได้ และทราบไหมว่า การชำระหนี้สงฆ์นั้น เป็นการทำบุญใหญ่ ที่ถือว่าจะได้บุญ 2 ชั้นเลยนะ เพราะเมื่อเราถวายสังฆทานให้พระสงฆ์ เราก็ได้บุญเป็นเดิม และเมื่อพระสงฆ์ให้ของนั้นแก่ผู้อื่น เราเองก็ได้บุญด้วยอีกเท่านึง

คนที่หมั่นชำระหนี้สงฆ์ตลอดเวลา… จะทำให้ชีวิตเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จากร้าย การเป็นดี จากไม่มี กลายเป็นมีทรัพย์สินมากขึ้น เก็บตังอยู่ และได้ทำงานในสิ่งที่เรารักด้วย ดังนั้นเราควรหมั่นเข้าวัดทำบุญกัน!

สรุปส่งท้าย

สำหรับใครที่ยังเข้าใจผิด… การ ชำระหนี้สงฆ์​ นั้น มีความสำคัญมากต่อการเป็นชาวพุทธ ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยพระสงฆ์ชำระหนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ… แต่แท้จริงแล้ว “หนี้สงฆ์” หมายถึง การติดค้างกับพระท่านตั้งแต่อดีตชาติ ไม่ว่าจะเป็นคำสัญญา ว่าจะทำบุญ หรือว่าจะเป็นการเผลอนำของสงฆ์ติดกลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ อาหาร หรือดินทรายที่ติดเท้าไป…

ดังนั้นเมื่อเราเข้าวัด… จึงถือว่าเราเองก็ได้นำทรายกลับบ้านไปด้วยแล้ว จึงเป็นการติดหนี้สงฆ์ ควรกลับมาทำบุญเรื่อย ๆ เพื่อบริจาคทรัพย์ เพื่อลดวิบากกรรมให้เบาลง สามารถชำระหนี้สงฆ์ ได้ 4 วิธีคือ 1 หย่อนตู้ค่าน้ำค่าไฟ 2 ถวายสังฆทาน 3 ทำบุญตามที่ได้สัญญาไว้ และ 4 ทำบุญขนทรายเข้าวัด

เพียงได้ปฏิบัติ 4 วิธีนี้ ก็จะสามารถแก้กรรม และใช้หนี้สงฆ์ได้แล้ว… รับรองใครที่ไม่มีงานทำ หรือเงินเก็บไม่งอกงาม ก็จะกลับมาลืมตาอ้าปากได้ ภาระหนี้สินก็จะค่อย ๆ เบาลง ลองทำดูนะ เพื่อความสบายใจ!